ความทรงจำ

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

สังคมที่เลวสร้างตำนานวีรชน

ยังสะเทือนและสลดใจไม่หาย กับข่าวการสูญครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวแกนนำ “นายทองนาค เสวกจินดา” นักต่อสู้ เพื่อคัดค้านการขนถ่ายถ่านหิน จ.สมุทรสาคร เป็นความสูญเสียของชุมชนแห่งนั้น เป็นความสูญเสียของสังคมไทย ที่มักจำหน่ายทิ้งคนดีไปสู่ความตาย ก่อนจะกระตุกตื่นตัว จึงเป็นความน่าอัปยศของกลไกรัฐที่ไม่มีปัญญาปกป้องสิทธิ ชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ไม่มีปัญญาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปกป้องความยุติธรรม และเป็นความชั่วช้าของนายทุน พ่อค้า พวกคนเลวมากอิทธิพล โดยเฉพาะคนที่สมรู้ร่วมคิด ที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ประโยชน์ตัวเองโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนอื่นๆ ขอให้ฉิบหาย ตายห่าตามๆ กันไป

ปัญหาทั้งหมด ไม่ใช่แค่เรื่อคนแก่ตัว จิตใจชั่วช้ากับรัฐ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความตื่นเขิน ขี้ขลาดและเห็นแก่ได้ของสื่อมวลชน ที่ถ้าไม่เกิดเหตุ มีความสูญเสียก็ไม่เป็นข่าว ไม่ตีแผ่  แม้แต่เอ็นจีโอ เองก็เลิกโง่ บ้าและงมงาย องค์กรทุนอย่าง สสส. ก็หยุดถลุงเงินภาษีไปกับปัญหาเชิงจริตของชนชั้นกลางได้แล้ว เพราะตอนนี้ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ต้องการเงินทุน ต้องการทรัพยากรมากระตุ้น มาปลุกการทำงานพัฒนา มารื้อสร้างองค์กรชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อพัฒนาสังคมให้เข้มแข็ง ดูแลปกป้องตนเองจากพลังทุนและอิทธิพลมืดได้บ้าง เพราะในปัจจุบันนี้  ปัญหาเหมืองแร่เหมืองทองที่จังหวัดเลย พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ กำลังคุกรุ่น ไม่รู้ชาวบ้านและแกนนำจะโดนวันใด ปัญหาโรงไฟฟ้าถ่านหินเชียงราย สระบุรี ก็ไม่น่าไว้ใจ ปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล ฉะเชิงเทรา ปราจีน อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์  ชุมพร ราชบุรี ก็ปะทะเนืองๆ ปัญหาป่าไม้ ปัญหาอุทยานฯ ทับที่ทำกิน ตอนนี้ก็หนักกำลัโดนไล่รื้อสุ่มสี่สุ่มห้า ชาวบ้านอยู่มาก่อนอุทยานฯ ก็พลอยซวยไปด้วย ปัญหาเหมืองแร่โปแตซ ที่ อุดรธานี ก็ดื้อดึงจะขุดใต้ถุนบ้าน ปัญหาน้ำท่วมธรรมชาติที่เริ่มจะไม่ธรรมชาติเมื่อคนต้นน้ำ กลางน้ำผลักไสน้ำโดยการสร้างพนังกั้นขอบแม่น้ำสูง 3 เมตร เพื่อให้น้ำไหลลงกรุงเทพและปริมณฑลอย่างเดียว ปัญหาท่าเรือน้ำลึกและการยัดเยียดนิคมอุตสาหกรรมให้พี่น้องชาวใต้ นครศรีธรรมราช สตูล สุราษฎร์ธานี ตรัง และ จะนะ สงขลา ปัญหาคนท้องถิ่นกำลังตกหล่นจากการพัฒนาพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยว ทั้งใน กระบี่ ภูเก็ต พังงา ปัญหาอากาศพิษถึงขั้นอันตรายปกคลุมไปทั่วภาคตะวันออก ซึ่งยิ่งนานวันก็ยิ่งทวีความรุนแรง ชาวบ้านแกนนำสู้หัวชนฝา ในขณะที่กลุ่มนายทุน ก็จดจ้องจะจัดการขั้นรุนแรง ไม่รู้ว่ารายต่อไปชาวบ้านคนไหนจะโดนก่อน นี่ไม่นับรวมบรรยากาศความน่ากลัวจากกลุ่มโจรก่อการร้าย ที่ชายแดน 3 จังหวัดภาคใต้อีก

เรื่องการต่อสู้ เรื่องของการลุกฮือปกป้องสิทธิของตนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากหรอก “ก็ถ้ามีใครเอาขี้มาไว้หน้าบ้านเรา เราหรือจะยอม หรือถ้ามีใครมาขุดรื้อใต้ถุนบ้านเรา เราจะนอนหลับฝันหวานอยู่ได้ยังไง ทรัพย์ในดินสินในน้ำนั่นมันของเรา   กฎหมายจะเขียนยังไงก็ได้ ก็เขียนไป แต่สิทธิ์นี้เรายืนยันไม่ให้ ถ้าอยากได้นัก  ก็ลองดู”    จะมาเขียนกฎหมาย ปล้นเอาของเราแต่ปู่ย่าตายายไปได้ยังไง ซึ่งก็นั่นแหละ ประชาชนชอบเงิน เลือกแต่นักการเมืองมากเงิน ถึงยามนี้ก็ต้องสำนึกสำเหนียกแก่ใจไว้ด้วยว่า เขาถนัดบริหารทุน แล้วก็หาทุน ถอนทุน ส่วนทุนจะมาจากไหน ก็คิดได้ไม่ยาก จากเงินภาษี จากทรัพยากรธรรมชาติของส่วนรวมของประเทศนี่แหละ คงไม่มีใครบ้าควักเงินในกระเป๋าตัวเองไปแจกประชาชนหรอก แต่จะควักเอาเงินของประชาชนนี่แหละมาให้ เอาเงินเอาความมั่งมีเอาทรัพย์สินของลูกหลานในอนาคตมาถลุง มาจ่ายแก่คนรุ่นพ่อแม่ที่เห็นแก่ได้ ที่อ้าแขนรับ ระวังจะยังไม่ตายดีบาปกรรมเหล่านั้นจะตามทัน  !!
ตอนนี้สังคมไทยจำนวนหนึ่งกำลังตื่นตัวรักบ้านรักเมืองรักแผ่นดินตามกระแสหนังย้อนประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้เพียง 3 บรรทัด เรื่อง “ขุนรองปลัดชูกับทหารกล้าแห่งวิเศษไชยชาญ 400 นาย“ นั่นคือเรื่องเมื่อ 200 ปีก่อน ที่อยู่ในตำนานการเล่าขาน สดุดีวีรชนของชาวบ้านซึ่งเป็นทหาญกล้าประจำท้องถิ่นตน  แต่หลังจาก 200 ปีนั่นมาถึงปัจจุบันก็มีวีรชนผู้กล้าเกิดดับตามมาไม่น้อย หรือจะเอาแค่  10-20ปีที่ผ่านมา ก็มากมาย  ที่ชาวบ้านตัวเล็กๆ ข้าราชการชั้นผู้น้อย ลุกขึ้นมาปกป้องชุมชน จนต้องถูกสังหาร ไม่ว่าจะเป็น

ครูประเวียน บุญหนัก แห่งอำเภอวังสะพุง เลย
โจ.. พิทักษ์ โตนวุธ แห่งบ้านห้วยชมพู่ อ.เนินมะปราง พิษณุโลก
พระสุพจน์ สุวโจ แห่งสวนเมตตาธรรม อ.ฝาง เชียงใหม่
เจริญ วัดอักษร บ้านบ่อนอกบ้านหินกรูด ประจวบคีรีขันธ์
ไม น้อยนารายณ์ นักอนุรักษ์จากเขื่อนท่าแซะ จังหวัดชุมพร
จุรินทร์ ราชพล นักอนุรักษ์ป่าชายเลน จังหวัดภูเก็ต
นรินทร์ โพธิ์แดง นักอนุรักษ์ต่อต้านการโรงโม่หิน เขาชะเมา จังหวัดจันทบุรี
ฉวีวรรณ ปีกสูงเนิน ผู้ขัดขวางการทุจริตการก่อสร้างที่ นากลาง อำเภอสูงเนิน
สุวัฒน์ วงศ์ปิยะสถิตย์ แกนนำผู้คัดค้านบ่อกำจัดขยะราชาเทวะ สมุทรปราการ
สมพร ชนะพล ผู้คัดค้านการสร้างเขื่อน คลองกระแดะ สุราษฎร์ธานี
บุญสม นิ่มน้อย แกนนำอนุรักษ์และคัดค้านการก่อสร้างโครงการโรงแยกคอนเดนเสท ในพื้นที่อำเภอบ้านแหลม จ.เพชรบุรี
ปรีชา ทองแป้น ผู้คัดค้านการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ตำบลปากแพรก ทุ่งสง นครศรีธรรมราช
บุญฤทธิ์ ชาญณรงค์ ผู้ต่อต้านการค้าไม้เถื่อน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
บุญยงค์ อินต๊ะวงศ์ แกนนำกลุ่มต่อต้านโรงโม่หินดอยแม่ออกรู จังหวัดเชียงราย
คำปัน สุกใส แกนนำเครือข่ายป่าชุมชนเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
สำเนา ศรีสงคราม ประธานชมรมชาวบ้านฟื้นฟูอนุรักษ์ลำน้ำพอง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น
สมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมและรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ
ชวน ชำนาญกิจ แกนนำชุมชนต้านยาเสพติด อ.ฉวาง นครศรีธรรมราช
แก้ว ปินปันมา แกนนำชาวบ้านที่เข้าไปใช้ที่ดินในพื้นที่กิ่ง อ.ดอยหล่อ


และคนล่าสุด ที่สะเทือนใจคนดี ที่รักบ้านเกิด รักแผ่นดิน รักชุมชนและครอบครัว อย่าง นายทองนาค เสวกจินดา อายุ 46 ปี แกนนำต่อต้านการขนส่งถ่านหินในพื้นที่ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งถูกนายทุนกับสมุนล้อมฆ่าอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน !!

สังคมไทยกำลังเป็นสังคมที่หมักหมมคนชั่วให้กำเริบเสิบสานโดยที่อำนาจบ้านอาญาเมืองจัดการไม่ได้ เข้าไม่ถึงนั้น จะนำมาซึ่งการลุกฮือของคนเล็กคนน้อยที่สุดจะทน จนเกิดการลุกฮือต่อสู้พลีร่างอุทิศตน และเกิดประวัติศาสตร์ เกิดตำนานวีรชนคนท้องถิ่นและแน่นอนเกิดสำนึกปฏิปักษ์แข็งข้อ หรือ  “ขบถ”  ต่อบ้านเมือง ที่ไม่ปกครองให้เกิดความเป็นธรรม ซึ่งอันตราย !!เพราะจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐที่ไม่มีน้ำยารักษาความเป็นธรรม ล้มล้างชนชั้นนำชนชั้นปกครองที่กดขี่เอาเปรียบ และปกป้องชีวิตและทรัพย์สินให้ประชาชนไว้ได้  ที่สำคัญประวัติศาสตร์ขบวนการคนจนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงประเทศแบบถอนรากถอนโคน นั้นมาจากอำนาจทุนอุปถัมภ์อำมาตย์ที่แผ่คลุม  ซึ่งตำนานวีรชนลุกฮือเช่นนี้ นั้นอาจจะมีขึ้นมาจริงๆ ได้บนประวัติศาสตร์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น