[]ปัญหาเกี่ยวกับความคับคั่งของวงโคจรสถิตย์[/]
ในการใช้เสรีภาพในอวกาศในทางปฏิบัติจะมีข้อจำกัดให้ไม่อาจกระทำได้ เพราะตำแหน่งในวงโคจรสำหรับให้วัตถุอวกาศปฏิบัติการมีจำนวนจำกัด บริเวณพื้นที่สำหรับตำแหน่งในวงโคจรที่จะให้วัตถุอวกาศเช่นดาวเทียมให้บริการอย่างคุ้มค่า มีแค่ 3 ย่านหลักๆ ได้แก่บริเวณเหนือทวีป อเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียซึ่งเป็นบริเวณที่คุ้มค่าต่อการลงทุน เพราะลูกค้าที่ต้องการใช้บริการมีอำนาจในการซื้อบริการ ส่วนบริเวณอื่นๆ ก็มีความต้องการแต่ไม่พร้อมด้านการเงิน อันทำให้เกิดปัญหาต่อการจัดส่งดาวเทียมไปไว้ในตำแหน่งในวงโคจรซึ่งมีแนวโน้มเรื่องความคับคั่งสูง
แต่โดยที่วงโคจรสถิตย์เป็นทรัพยากรธรรมชาติซึ่งมีปริมาณจำกัดมาก จึงทำให้นานาชาติต้องแย่งชิงกันส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรในวงโคจรนั้นเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความคับคั่งจนต้องมีการจัดสรรตำแหน่งในวงโคจรนี้ให้แก่ประเทศต่างๆ อย่างเป็นธรรม โดยมีประเทศมหาอำนาจขอให้เพิ่มเงื่อนไขขึ้นมาว่า โดยให้ได้ประโยชน์สูงสุดซึ่งหมายความว่าหากรัฐใดมิได้ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งในวงโคจรสถิตย์ ที่ตนจองเอาไว้ถึงแม้จะจ่ายค่าจองเป็นประจำ รัฐอื่นก็มีสิทธิที่จะเข้าไปใช้ได้และโดยที่ไม่มีองค์กรระหว่างประเทศใดที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในเรื่องนี้ เมื่อสหภาพการโทรคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union - ITU) เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมีหน้าที่จัดสรรย่านความถี่ของคลื่นสัญญาณให้ประเทศต่างๆ อยู่แล้ว และดาวเทียมเพื่อการสื่อสารจำเป็นต้องใช้คลื่นความถี่ ITU จึงทำหน้าที่เป็นผู้จดทะเบียนตำแหน่งใน วงโคจรสถิตย์ด้วยโดยปริยาย โดย ITU เป็นผู้จัดสรรย่านความถี่ให้โครงการดาวเทียม แต่ละดวงด้วย ซึ่งเมื่อได้จดทะเบียนการจัดสรรให้โครงการใดแล้ว โครงการนั้นย่อมมีสิทธิที่จะใช้ตำแหน่งในวงโคจรสถิตย์นั้นๆ ก่อนผู้อื่น ถ้าโครงการดาวเทียมที่เกิดในภายหลังจะทำให้สัญญาณรบกวนกันโครงการที่เกิดขึ้นภายหลังจะต้องเจรจาหารือ (consult) กับโครงการที่มีอยู่ก่อนแล้วเพื่อร่วมกันหาทาง ปรับระบบดาวเทียมของตนมิให้มีคลื่น สัญญาณรบกวนกัน
ทั้งนี้การได้รับการจัดสรรตำแหน่งในวงจรสถิตย์ (orbital slot) ไม่ทำให้รัฐที่ได้รับการจัดสรรมีกรรมสิทธิ์ในตำแหน่งในวงโคจรนั้น เพียงแต่ทำให้รัฐนั้นๆมีสิทธิใช้ตำแหน่งในวงโคจรนั้นก่อนรัฐอื่นๆ เท่านั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะขายตำแหน่งในวงโคจรสถิตย์ให้แก่ผู้อื่นได้ แต่ก็ไม่มีข้อห้ามไว้โดยแจ้งชัดมิให้ขาย “สิทธิ”นั้นให้แก่รัฐอื่นบางประเทศเช่นประเทศ Tonga จึงขายสิทธิของตนให้แก่รัฐอื่นหรือให้ผู้ประกอบกิจการดาวเทียมของรัฐอื่นเช่าตำแหน่งในวงโคจรสถิตย์ของตนได้
Michael J. Finch กล่าวว่า “จากการคำนวณในทางทฤษฎีพบว่าระดับเทคโนโลยีปัจจุบันนี้สามารถให้ดาวเทียมอยู่ในวงโคจรสถิตย์ได้ถึง 2,000 ดวง หรือให้ดาวเทียมอยู่ห่างกันอย่างน้อย 18 กิโลเมตร ดาวเทียมจะสามารถโคจรได้โดยไม่ปะทะกันเอง”
กองแผนงาน กรมไปรษณีย์โทรเลข ได้ศึกษาเกี่ยวกับสภาพการณ์คับคั่งของพบว่า ที่ย่านความถี่ 6/4 GHz ในวงโคจรบริเวณเส้นศูนย์สูตรนั้น ห้วงอวกาศแทบจะไม่มีเหลือว่างอยู่เลย ทั้งนี้ปรากฏตามภาพแสดงให้เป็นถึงปัญหาความคับคั่งของวงโคจรสถิตย์ในปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าจะคับคั่งมากขึ้นไปอีกจนในที่สุดอาจไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอีกต่อไป
[]
ปัญหากฎหมายอวกาศในการเรียกร้องอำนาจอธิปไตยเหนือวงโคจรสถิตย์[/]
โดยทั่วไปแล้วประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคมระหว่างประเทศ ยังขาดความพร้อมที่จะมีดาวเทียมเป็นของตนเอง เริ่มหวั่นเกรงว่าเมื่อถึงเวลาที่ประเทศของตนเองมีขีดความสามารถส่งดาวเทียมขึ้นสู่ห้วงท้องฟ้าได้นั้น วงโคจรดาวเทียม เพื่อการสื่อสารโทรคมนาคมก็จะมีดาวเทียมแออัดจนกระทั่งไม่มีตำแหน่ง (Slot) ให้ดาวเทียมของตนอยู่ได้ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจึงได้เรียกร้องให้มีการจัดสรรตำแหน่งของตนแลเรียกร้องให้ “จัดระเบียบการสื่อสารระหว่างประเทศใหม่” (New International Communications Order) ประเทศที่ตั้งอยู่ในบริเวณเขตเส้นศูนย์สูตร 8 ประเทศ ประกอบด้วย บราซิล โคลัมเบีย คองโก เอคัวดอร์ อินโดนีเซีย เคนยา อูกันดา และแซร์ ได้ประกาศอ้างสิทธิว่าบริเวณวงโคจรดาวเทียมเพื่อการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นบริเวณที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐในเอกสารที่ชื่อว่า Bogota Declaratioon 1976 โดยอ้างเหตุผลว่าดาวเทียมจะโคจรอยู่ได้ต้องอาศัยแรงดึงดูดของโลก ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผล ที่จะอ้างว่าวงโคจรดาวเทียมนี้เป็นส่วนที่อยู่ในห้วงอวกาศ (Outer Space)
ห้วงอวกาศเป็นบริเวณที่อยู่เหนือพื้นโลก ซึ่งครอบคลุมทั้งห้วงอวกาศและดวงดาวต่างๆ สำหรับห้วงอวกาศมีลักษณะพิเศษในตัวเอง คือเป็นบริเวณที่มีสถานะระหว่างประเทศทำนองเดียวกับน่านน้ำสากล หรือทะเลหลวง (High Seas) ในกฎหมายทะเล ซึ่งไม่เป็นของรัฐใดและมิได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของรัฐใดๆ มีปัญหาต้องพิจารณาว่าพื้นที่ที่เป็นห้วงอวกาศเริ่มต้นจากจุดใดบนท้องฟ้า พื้นที่วงโคจรสถิตย์เป็นส่วนหนึ่งของห้วงอวกาศหรือไม่ ข้อกล่าวอ้างตาม Bogota Declaratioon 1976 รับฟังได้หรือไม่
ตามสนธิสัญญาว่าด้วยหลักเกณฑ์การดำเนินกิจการของรัฐในการสำรวจ และการใช้อวกาศภายนอก รวมทั้งดวงจันทร์และเทหะในท้องฟ้าอื่นๆ นั้น ห้วงอวกาศทั้งหมดรวมถึงดวงจันทร์และเทหวัตถุทั้งหลายเป็นทรัพย์สินร่วมกันของมนุษยชาติ ไม่อยู่ในอำนาจของรัฐใดที่จะเข้ายึดครอง
การแบ่งเขตระหว่างอวกาศกับน่านฟ้าหรือชั้นบรรยากาศว่า ชั้นบรรยากาศสิ้นสุด ณ จุดใดและอวกาศเริ่มต้น ณ จุดใด ซึ่งแต่ก่อนนี้จะดูจากความหนาแน่น (density) ของอากาศเป็นเกณฑ์ โดยดูจากว่าเพดานบินสูงสุดของอากาศยานที่บินโดยอาศัยการพยุงตัวของอากาศอยู่ ณ ที่ใดก็ให้ถือว่าชั้นบรรยากาศสิ้นสุดลง ณ ที่นั้น แต่ปัจจุบันการกำหนดเขตแดนห้วงอวกาศนั้นมีแนวคิดอยู่หลายแนวคิด แต่ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ แนวคิดเกี่ยวกับระยะอวกาศ
ชูเกียรติ น้อยฉิม ได้อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับระยะอวกาศ (The Spatial Approach) ว่า “แนวคิดนี้พยายามที่จะสร้างหรือกำหนดเขตแดนที่ต่ำสุดของห้วงอวกาศ (The Boundary of Outer Space) ซึ่งกำหนดความสูงโดยเป็นที่ยอมรับของ COPOUS ซึ่งใช้แนวคิดเกี่ยวกับระยะอวกาศที่ใช้ทฤษฎีว่าด้วยจุดต่ำสุดของวงโคจรดาวเทียม มาเป็นตัวกำหนดโดยถือว่า ในบริเวณที่อยู่เหนือเส้นความสูงในจุดที่ต่ำสุดของดาวเทียมที่สามารถโคจรเพื่อใช้งานอยู่ได้ปกติและใกล้โลกมากที่สุดประมาณ 100 (± 10) กิโลเมตร เหนือระดับน้ำทะเลเป็นห้วงอวกาศ และในห้วงอวกาศนั้นเทหวัตถุสามารถเคลื่อนที่รอบโลกได้โดยไม่อาศัยระบบขับเคลื่อนใดๆ ”
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดขอบเขตของห้วงอวกาศอย่างชัดเจน ทำให้ กลุ่มประเทศบริเวณเส้นศูนย์สูตร กล่าวอ้างว่าวงโคจรสถิตย์นั้นขึ้นอยู่กับแรงดึงดูดของโลก จากความสัมพันธ์กับโลกดังกล่าวนี้จึงทำให้มิได้ประกอบเป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ ดังนั้นส่วนใดของวงโคจรอยู่เหนือรัฐศูนย์สูตรใดก็ควรอยู่ภายใต้อธิปไตยของรัฐนั้น ข้อกล่าวอ้างนี้มีข้อพิจารณาว่ามีเหตุผลรับฟังได้หรือไม่
เมื่อเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า วงโคจรสถิตย์มีจำกัดอยู่แค่บริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรเท่านั้นยิ่งทำให้วงโคจรสถิตย์มีคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างสูงสุด และเป็นสิ่งที่หมายปองของทุกๆ รัฐ ดังนั้นบรรดารัฐศูนย์สูตรจึงเรียกร้องอธิปไตยเหนือวงโคจรนี้ เมื่อเป็นที่รู้กันว่าวงโคจรสถิตย์มีจำกัดและต้องมีการจัดสรรอย่างเป็นธรรมการเรียกร้อง และอ้างสิทธิอธิปไตยจึงถูกคัดค้านอย่างหนัก และปฏิเสธโดยรัฐอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐมหาอำนาจทางอวกาศ ซึ่งยืนยันว่าวงโคจรนี้เป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ เนื่องจากข้ออ้างของรัฐศูนย์สูตรมิได้ตรงกับความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ที่ว่าวงโคจรนี้มิได้ขึ้นอยู่เพียงกับแรงดึงดูดของโลกบริเวณแถบเส้นศูนย์สูตร แต่เกี่ยวข้องกับแรงดึงดูดของโลกทั้งใบ และยังขึ้นอยู่ปัจจัยอื่นๆ เช่น ความสัมพันธ์กับดวงจันทร์ และดวงดาวอื่นๆ ในระบบ สุริยจักรวาล ยิ่งกว่านั้น วงโคจรเป็นเพียงทิศทางของการบินของวัตถุอวกาศรอบโลก ซึ่งจะมีตัวตนอยู่ก็เฉพาะสำหรับการสัญจรของวัตถุอวกาศเท่านั้น จึงไม่อาจอ้างอธิปไตยเหนือวงโคจรนี้ได้ ที่สำคัญประเทศมหาอำนาจต่างถือปฏิบัติหลักการนี้ตลอดมาและไม่ปรากฏว่ามีการคัดค้านอย่างจริงจัง จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าประชาคมระหว่างประเทศต่างถือปฏิบัติกันมาจนเกิดมีความเชื่อมั่นว่าหลักการนี้เป็นกฎหมาย (Opinio Juris) หรือเชื่อมั่นว่ากฎหมายบังคับให้ต้องปฏิบัติเช่นนั้น (Opinio Juris Sive Necessitatis)
[]แนวทางการแก้ไขปัญหา[/]
จากปัญหา ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น เมื่อวิเคราะห์หาแนวทางแก้ไขปัญหา พบว่า มีแนวทางแก้ไขดังนี้
โดยแท้จริงแล้วกล่าวได้ว่าปัญหาเกิดจากความมีจำกัดของทรัพยากร นั่นคือพื้นที่วงโคจรสถิตย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห้วงอวกาศ โดยที่ประชาคมระหว่างประเทศต่างยอมรับกันว่าเป็นทรัพย์สินร่วมกันของมนุษยชาติ ไม่อยู่ในอำนาจของรัฐใดที่จะเข้ายึดครอง ประกอบกับการยอมรับ ในหลักการใช้เสรีภาพในห้วงอวกาศในทางสันติ ตามสนธิสัญญาว่าด้วยหลักเกณฑ์การดำเนินกิจการของรัฐในการสำรวจ และการใช้อวกาศภายนอก รวมทั้งดวงจันทร์และเทหะในท้องฟ้าอื่นๆ ในระยะแรกของการใช้พื้นที่ต่างถือหลักใครมาก่อนได้ก่อน (First-come, First-served) ภายใต้หลักการนี้ผู้ที่มาภายหลังก็จะไม่ได้สิทธิลำดับก่อนในการเข้าใช้ประโยชน์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นหลักการที่มีลักษณะผูกขาด จึงมีความพยายามสร้างระบบควบคุมดูแลการใช้ประโยชน์ในห้วงอวกาศ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง วงโคจรสถิตย์ขึ้นมาใหม่ ตามแนวคิดการใช้ประโยชน์อย่างเท่าเทียมและยุติธรรม โดยจัดให้มีขั้นตอนของข้อมูลตีพิมพ์ล่วงหน้า เพื่อให้สิทธิแก่ประเทศทั้งหลายในการที่จะแสดงเจตนาให้เห็นถึงความต้องการในครั้งแรกที่จะเข้าใช้ประโยชน์ จากตำแหน่งที่ตั้งในวงโคจรสถิตย์ และยังมีขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญคือการประสานงานและการดำเนินการแจ้งจดทะเบียนไว้
องค์การสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ได้ออกข้อมติประกาศว่า วงโคจรดาวเทียมเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัด จึงควรใช้อย่างประหยัด และ มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับกันจากทุกประเทศทั่วโลก ต่อมามีการกล่าวถึงสิทธิแห่งความเท่าเทียมกัน (Equal Right) ของทุกประเทศในการที่จะเข้าใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่ตั้งของดาวเทียมในวงโคจรดาวเทียม ประเทศต่างๆ ที่ใช้ประโยชน์อยู่ก่อน ไม่ควรที่จะได้รับสิทธิพิเศษถาวรอื่นๆ ก่อนประเทศอื่นใดที่จะเข้ามาใช้ประโยชน์ในภายหลัง รวมทั้งไม่ควรที่จะกระทำการใดๆ ที่จะก่อให้เกิดอุปสรรคในการเข้าใช้ประโยชน์ของประเทศอื่นด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ข้อว่ามตินี้จะได้รับการสนับสนุนจากจากประเทศสมาชิกทั้งหลายก็ตาม แต่ก็ไม่มีอำนาจบังคับทางกฎหมายที่จะทำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้
ดังนั้น ปัญหาจึงย้อนกลับมาสู่หลักปรัชญาทางกฎหมายระหว่างประเทศอันเป็นต้นสายธารของหลักกฎหมายอวกาศ นั่นคือ การยอมรับนับถือที่จะผูกพันตนในความตกลงระหว่างประเทศ เพราะหากประชาคมระหว่างประเทศให้ความร่วมมือร่วมใจกันอย่างจริงจังในการถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน และแบ่งปันในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่วงโคจรสถิตย์โดยตั้งอยู่บนหลักการแห่งความเท่าเทียมกัน และมีการจัดสรรอย่างเป็นธรรมโดยอาศัยองค์การระหว่างเทศ นั่นคือ องค์การสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และเนื่องจากองค์ความรู้ด้านกฎหมายอวกาศยังมีความจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงและพัฒนาต่อไปในอนาคต ทั้งนี้เพราะปัจจัยด้านเทคโนโลยี ของมนุษยชาติมีความเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วและไม่หยุดยั้ง ทำให้เกิดความจำเป็น ต้องพัฒนาระบบกฎหมายอวกาศให้สามารถใช้บังคับต่อสังคมโลก ได้อย่างเป็นมีประสิทธิภาพ และธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น